post

สำหรับกีฬาลีลาศแล้ว แน่นอนว่าอาจจะเทียบความนิยมกับกีฬาฟุตบอล มวย เทนนิส หรือวอลเลย์บอลไม่ได้เลย แต่ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของกีฬาลีลาศนั้นก็ไม่ได้ด้อยกว่าหลายชนิดกีฬาที่มีในประเทศไทยเลย และดีไม่ดีน่าจะมีความสำคัญมากกว่ากีฬายอดฮิตอย่างฟุตบอลเลยด้วยซ้ำไป แล้วลีลาศมีความสำคัญขนาดไหนสำหรับประเทศไทย มาดูกันเลย

ลีลาศมีความสำคัญด้านสันถวไมตรีกับต่างชาติ

การเต้นลีลาศในประเทศไทยนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อใดแน่นั้นปัจจุบันก็ยังไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยืนยันได้แน่ชัด แต่มีการสันนิษฐานกันว่า ลีลาศนั้นน่าจะเริ่มเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาลที่ 3 และมาก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นในช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 เพราะมีบันทึกหลักฐานทางประวัติศาสตร์จากแหม่มแอนนา ถึงเรื่องนี้ไว้ประมาณว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 นั้น มีความสนพระทัยในวัฒนธรรมของชาวตะวันตกและมีความสนพระทัยในเรื่องของการเต้นรำในแบบตะวันตกด้วย ครั้งหนึ่งพระองค์เคยถามแหม่มแอนนาถึงเรื่องนี้ และแหม่มแอนนาก็เลยได้อธิบายถึงเรื่องการเต้นรำแบบชาวยุโรป ว่าเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของพระราชวงศ์ของอังกฤษ ขณะที่กล่าวถึงเรื่องนี้ แหม่มแอนนาก็ได้ทำท่าทางการเต้นรำให้พระองค์ดู ซึ่งพอรัชกาลที่ 4 ได้ทอดพระเนตรพระองค์ก็ทรงไม่แสดงอาการอะไร แต่พอแหม่มแอนนาแสดงท่าทางการเต้นรำในจังหวะวอลซ์เท่านั้น รัชกาลที่ 4 ถึงกับเอ่ยพระโอษฐ์ว่า แหม่มแอนนายังวางตำแหน่งแขนในการเต้นไม่ถูก ตำแหน่งนั้นยังใกล้เกินไป แหม่มแอนนาถึงกับประหลาดใจว่าพระองค์ทรงรู้วิธีการเต้นรำแบบชาวตะวันตกนี้ได้อย่างไร ซึ่งแหม่มแอนนาได้สันนิษฐานเอาว่า รัชกาลที่ 4 ทรงเรียนรู้ด้วยพระองค์เองจากตำรับตำราของฝรั่งตะวันตกทั้งนี้ก็เพื่อการเชื่อมสัมพันธไมตรีต่อชาวตะวันตกที่กำลังเข้ามาในประเทศไทยนั่นเอง

แม้ว่าในช่วงรัชกาลที่ 5 และ 6 การเต้นรำแบบลีลาศนั้นจะยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก แต่สำหรับชนชั้นเจ้านาย ก็มักจะต้องได้รับการอบรมและเรียนรู้ด้วยกันแทบทุกคน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมสันถวไมตรีกับต่างชาติที่เข้ามาเป็นทูตเพื่อสานสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศไทย แต่พอมาในรัชกาลที่ 7 การเต้นรำแบบลีลาศก็เริ่มได้รับความนิยมในกลุ่มบุคคลทั่วไปอย่างแพร่หลาย เพราะชนชั้นนำของสังคมให้ความสำคัญ

ลีลาศเกิดขึ้น ซบเซาและเกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง

ในช่วงตั้งแต่รัชกาลที่ 4 – 6 เป็นต้นมานั้น ยังไม่มีคำเรียกการเต้นรำโดยเฉพาะ จนหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ไปแล้วจึงมีผู้คิดค้นบัญญัติศัพท์คำว่า “ลีลาศ” ขึ้นมาใช้ ช่วงตั้งแต่รัชกาลที่ 4 – 6 การเต้นรำแบบลีลาศนี้ก็ถือได้ว่าได้รับความนิยมไม่น้อย และมีทีว่าจะกระจายไปสู่ผู้คนที่เป็นราษฎรมากขึ้น แต่ทว่าสังครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นช่วงรัชกาลที่ 6 ทำให้ลีลาศเงียบหายไป พอสงครามสงบลีลาศก็กลับมาได้รับความสนใจ แต่พอสงครามโลกครั้งที่ 2 มาอีกครั้งการเต้นรำแบบลีลาศก็ถูกลืมเลือนไปอีก กว่าจะกลับมาได้อีกครั้งก็กลายเป็นสิ่งที่เหลือเพียงคนกลุ่มเดียวที่ยังคงรักษาไว้ไปแล้ว

การเดินทางของกีฬาลีลาศนั้นมีความผูกพันเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของไทย ที่สำคัญนี่เป็นหนึ่งชนิดของกิจกรรมที่ได้รับความนิยมสูงในวงสังคมของไทยในช่วงสมัยหนึ่ง แม้ในตอนนั้นยังไม่ได้เป็นกีฬาเต็มตัวก็ตาม ปัจจุบันลีลาศกลายเป็นกีฬาสากลไปแล้ว และในตอนนี้เริ่มมีคนรุ่นใหม่กลับมาให้ความสนใจอีกครั้งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่จะทำให้กีฬาชนิดนี้กลับมาคืนชีพด้วยความสง่างามอีกครั้ง