post

กีฬาปิงปอง เป็นกีฬาที่ต้องใช้ไหวพริบและความคล่องแคล่วของร่างกายเพื่อรับ-ส่งลูกระหว่างผู้เล่นด้วยกันเอง และเป็นกีฬาที่ให้ความสนุกสนานในหมู่คณะ เป็นที่นิยมในสากล จนกลายเป็นหนึ่งในกีฬาที่ใช้แข่งขันในระดับโลก ถือว่าเป็นกีฬาที่มีความยากระดับหนึ่ง ที่ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายต้องตีลูกโต้กัน ข้ามตาข่ายและให้ลูกตกบนพื้นโต๊ะเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น วันนี้เรามาดูประวัติที่มาและวิธีการเล่นของกีฬาชนิดนี้กันเพื่อให้ได้เข้าใจและรู้จักปิงปองกันมากขึ้น

ประวัติกีฬาปิงปอง

ตามข้อมูลที่มาของกีฬาประเภทนี้ เริ่มต้นขึ้นในประเทศอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ. 1890 เริ่มแรกอุปกรณ์ที่ใช้เล่นในครั้งนั้น จะเป็นไม้ตีที่หุ้มด้วยหนังสัตว์ ส่วนลูกที่ใช้ตีจะเป็นลูกเซลลูลอยด์ (มีลักษณะเป็นของแข็ง ติดไฟง่ายมาก) เวลาที่ตีลูกกระทบพื้นแล้วจะดัง “ปิ๊กป๊อก” เลยเป็นที่มาของชื่อกีฬา “ปิงปอง” ต่อมาจึงเริ่มวิวัฒนาการเปลี่ยนมาเป็นแผ่นไม้อย่างปัจจุบัน และเริ่มแพร่หลายในโซนยุโรปก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่เอเชีย

มาตรฐานของอุปกรณ์กีฬาปิงปองคือ

ส่วนแรกในเรื่องของโต๊ะ กำหนดให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า จะต้องมีความกว้าง 1.525 เมตร (5 ฟุต) ความยาว 2.74 เมตร (9 ฟุต) และความสูงจะต้องได้ระดับอยู่ที่ 76 เซนติเมตร (2 ฟุต 6 นิ้ว) โดยวัดจากพื้นที่ตั้งจนถึงพื้นผิวของโต๊ะ

 ในเรื่องของตาข่าย จะต้องขึงตึง มีความสูงจากพื้นผิวโต๊ะ 15.25 เซนติเมตร (6 นิ้ว) ส่วนลูกปิงปองจะต้องมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 40 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักเบาเพียง 2.7 กรัม สำหรับการแข่งขันมาตรฐานสากล การแข่งขันจะใช้ตาข่ายและลูกปิงปองที่มียี่ห้อที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์เทเบิลเทนิสนานาชาติ (ITTF) เท่านั้น และมีการระบุสีของลูกปิงปองที่ใช้ในการแข่งขันทุกครั้งด้วย

วิธีการเล่นกีฬาปิงปองหรือเทเบิลเทนนิส

1. ในการส่งลูก โยนลูกจากฝ่ามือขึ้นกลางอากาศ สูงไม่น้อยกว่า 16 เซนติเมตร

2. ในการรับลูก เมื่อลูกถูกส่งมาข้ามตาข่าย ลูกจะต้องตกถึงพื้นโต๊ะเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แล้วจึงรีบตีโต้กลับให้ข้ามตาข่ายไปยังฝั่งตรงข้าม

3. กรณีการเสียคะแนนหรือต้องมีการเสิร์ฟลูกใหม่คือ การตีโต้กลับติดตาข่ายและการตีลูกไม่ตกถึงพื้นฝ่ายตรงข้าม

4. การนับคะแนน หากผู้เล่นฝ่ายใดทำผิดกติกาจะเสียคะแนนทันที และผู้เล่นที่ทำคะแนนได้ถึง 11 คะแนนก่อนจะเป็นฝ่ายชนะ เว้นแต่ว่าจะทำคะแนน 10 คะแนนเท่ากันจะต้องเล่นต่อไปจนกว่าจะมีผู้เล่นฝ่ายใดทำแต้มได้ถึง 11 คะแนน

5. การแข่งขันจะมีสองประเภทคือ ประเภทเดี่ยวและประเภทคู่

ทั้งนี้กีฬาปิงปอง จะต้องรับได้การฝึกฝนจนชำนาญ เพราะต้องมีทักษะทางร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น สายตาที่โฟกัสลูกปิงปองและการจับไม้ตีของลูกฝ่ายตรงข้ามว่าจะโต้มาลักษณะใด จึงจะโต้รับได้ถูกต้อง รวมไปถึงสมองที่ต้องไว เพราะต้องคิดวางแผนอย่างรวดเร็ว เพื่อเอาชนะอย่างฉับพลัน และในส่วนของข้อมือจะต้องมีความแข็งแรง เพราะต้องใช้ทักษะการหมุนข้อมือเพื่อให้ลูกหมุนเร็วมากยิ่งขึ้น